เมื่อ “ผลิตภาพ” ไม่ใช่แค่การทำงานให้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง แต่คือการออกแบบการทำงาน ที่ให้ส่งผลต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างยั่งยืน เคยเจอไหมครับ เวลาที่ทีมงานของคุณทำงานกันอย่างหนักทุกวัน ตัวเลข Output ก็สวยงาม ผลงานก็เสร็จตามแผน แต่พอถึงเวลาสรุปกลับรู้สึกว่า… ผลลัพธ์จริง ๆ ต่อธุรกิจยังไม่ชัดเจน ไม่ได้ช่วยให้ลูกค้าพึงพอใจขึ้น ไม่ได้ทำให้ต้นทุนลดลง และบางครั้งก็ไม่ได้ช่วยให้การทำงานในองค์กรลื่นไหลกว่าเดิม นี่แหละคือความจริงที่หลายธุรกิจเจอ เรากำลังวัด Productivity แค่จาก “ความเร็ว” และ “ปริมาณงาน” แต่หลงลืมไปว่า สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “ผลลัพธ์” ที่ส่งกลับไปสู่ธุรกิจ
SO เองก็เคยตั้งคำถามเดียวกันนี้ และนี่คือเหตุผลที่เรานิยามใหม่ในฐานะ Outsourcing Partner ที่ไม่ได้วัดคุณค่าจากจำนวนคนที่ส่งไป หรือชั่วโมงทำงานที่ถูกเติมเข้าไป แต่เราวัดจาก คุณภาพของผลลัพธ์ (Quality of Output), ผลกระทบเชิงธุรกิจ (Business Outcome) และ ศักยภาพการเติบโตแบบขยายได้ (Scalability) เพราะในโลกที่ธุรกิจต้องวิ่งแข่งกับเวลาและต้นทุน SO เชื่อว่าคำว่า Productivity ไม่ควรถูกจำกัดแค่ “ทำงานได้เยอะ” แต่ต้องหมายถึง “ทำงานอย่างมีคุณค่า” โดยใช้คนที่เหมาะสม ผสานกับระบบและเทคโนโลยีที่ออกแบบมาอย่างแม่นยำ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่มั่นใจได้และยั่งยืนจริง
Productivity คืออะไร ในมุมของ SO?
“ความเร็ว” และ “ต้นทุน” คือเรื่องที่ทุกธุรกิจต่างแข่งขันกันในปัจจุบัน ซึ่งหลายองค์กรยังคงวัด ผลิตภาพ ด้วยสูตรเดิมๆ เช่น ปริมาณงานที่ทำได้ต่อชั่วโมง หรือจำนวนชิ้นงานที่เสร็จในหนึ่งวัน แต่ในโลกของ Outsourcing และการบริหารจัดการแรงงานแบบครบวงจร วิธีการแบบนี้อาจไม่เพียงพออีกต่อไป สำหรับ SO ต้องมองลึกกว่านั้น และครอบคลุมไปถึง 3 มิติหลัก ได้แก่
- คุณภาพของผลลัพธ์ (Quality of Output)
ไม่ใช่เพียงจำนวนงานที่เสร็จ แต่คือตัวงานที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์มาตรฐานของลูกค้า และลดความผิดพลาดที่ต้องแก้ซ้ำ เพราะงานที่แม่นยำตั้งแต่ต้นคือปัจจัยที่ช่วยลดต้นทุนแฝงได้มากที่สุด - ผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้า (Business Outcome)
Productivity ต้องสะท้อนให้เห็นถึง “ผลเชิงกลยุทธ์” เช่น ทำให้กระบวนการในการทำงานที่ลื่นไหลขึ้น ลดเวลาในการการส่งมอบบริการ เพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้บริการปลายทาง หรือแม้แต่ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ เมื่อทุกผลลัพธ์ส่งเสริมต่อธุรกิจหลักของลูกค้า นั่นจึงเรียกว่า Productivityที่แท้จริง - ความสามารถในการขยายงาน (Scalability)
การเพิ่มงานไม่ควรหมายถึงการเพิ่มต้นทุนแบบเส้นตรง เช่น เพิ่มจำนวนคนโดยไม่จำกัด แต่คือการออกแบบระบบให้สามารถ รองรับงานเพิ่มขึ้นได้ โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือน้อยลง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Outsourcing สมัยใหม่ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี เช่น RPA, OCR, AI หรือ Workflow Automation เข้ามาช่วยสร้างความยืดหยุ่นในกระบวนการทำงาน
แนวคิดเรื่อง ผลิตภาพ ถูกให้ความสำคัญในยุคที่ทุกธุรกิจแข่งขันกันด้วยความเร็ว และต้นทุนแบบเดิมที่วัดเพียงแค่ปริมาณงานที่ทำได้ในหนึ่งวันนั้นไม่เพียงพออีกต่อไปสำหรับโลกของ Outsourcing และการบริหารจัดการแรงงานแบบครบวงจร บริษัทผู้เชี่ยวชาญอย่าง SO จึงมอง Productivity ในมุมที่ลึกกว่านั้น โดยให้ความสำคัญกับ คุณภาพของผลลัพธ์ (Quality of Output) ที่ต้องแม่นยำ และลดความผิดพลาดตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ให้เกิดการเพิ่มลดต้นทุนแฝง ไปจนถึง ผลกระทบต่อธุรกิจของลูกค้า (Business Outcome) ที่ต้องสร้างคุณค่าเชิงกลยุทธ์ เช่น ทำให้กระบวนการทำงานลื่นไหลขึ้น หรือยกระดับภาพลักษณ์ของแบรนด์ และท้ายที่สุดคือ ความสามารถในการขยายงาน (Scalability) ที่ไม่ได้เน้นการเพิ่มคนแบบเส้นตรง แต่เป็นการใช้เทคโนโลยี เช่น RPA และ AI เข้ามาช่วยให้ระบบสามารถรองรับงานที่เพิ่มขึ้นได้โดยใช้ทรัพยากรเท่าเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า Productivity ที่แท้จริงคือการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืน และขับเคลื่อนธุรกิจของลูกค้าให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
Productivity ไม่ใช่แค่ Output แต่คือ “Outcome” ที่จับต้องได้
สำหรับ SO การสร้าง Productivity ไม่ได้หมายถึงการ “ส่งคนไปทำงานให้ครบตำแหน่ง” แต่คือการส่งมอบ ผลลัพธ์ ที่ทำให้องค์กรลูกค้าเดินหน้าไปได้ไกลกว่าเดิม SO PEOPLE ในฐานะธุรกิจหลักด้านการบริหารบุคลากรของ SO ไม่ได้มองพนักงานเป็นเพียง “แรงงาน” แต่คือ Brand Ambassador ที่สะท้อนคุณค่าและภาพลักษณ์ของลูกค้าในทุกการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานต้อนรับที่สร้างความประทับใจแรก พนักงานขับรถที่สะท้อนมาตรฐานความปลอดภัยและความใส่ใจ ไปจนถึงฝ่ายธุรการที่ทำให้งานสนับสนุนขององค์กรเป็นระบบระเบียบ
ดังนั้นในมุมมองของการบริหารจัดการบุคลากรจาก SO คือ
- บริการของลูกค้าดู มืออาชีพและน่าเชื่อถือขึ้น ในสายตาผู้ใช้บริการ
- ลดภาระของทีมดูแล เพราะไม่ต้องเสียเวลา เทรนซ้ำ แก้ปัญหาบ่อย หรือเปลี่ยนคนอยู่บ่อยๆ
- ลูกค้าได้พนักงานที่ มีทักษะสูง (Highskill) มากกว่าตรงตามคุณสมบัติพื้นฐานอย่างเดียวพร้อมขับเคลื่อนองค์กรไปข้างหน้าได้อย่างยืดหยุ่น
นี่คือ Productivity แบบ Outcome ที่ไม่เพียง “ทำงานได้” แต่ทำให้ธุรกิจของลูกค้า “ดูดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น” อย่างแท้จริง
“Lean Process = Productivity ที่ออกแบบได้”
อีกหนึ่งแกนสำคัญของ SO คือ SO NEXT ที่พัฒนาโซลูชันด้านเทคโนโลยีเพื่อทำให้ Productivity เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ผลจากความขยันของพนักงาน ผ่านเครื่องมืออย่าง e-FLOW, OCR และ RPA SO ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำงานได้ มากขึ้น โดยใช้จำนวนคนเท่าเดิม โดยเฉพาะในงานที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาล เช่น Document Management, Data Entry หรือ Workflow ที่ซ้ำซ้อน
Case Study ในโปรเจกต์การบริหารข้อมูลเครดิตบูโรกว่า 2.5 ล้านรายการต่อเดือน
SO ใช้แนวคิด Lean Engineering และ Intelligent Automation เพื่อออกแบบกระบวนการใหม่ให้สามารถ
- ลดเวลาในการเคลียร์งานลงอย่างชัดเจน
- เพิ่มความแม่นยำ ในการตรวจสอบข้อมูล
- ส่งมอบงานได้ตรง SLA 100% อย่างโปร่งใส
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า Productivity ที่แท้จริงไม่ใช่การ “ทำให้เร็วขึ้น” เท่านั้น แต่คือการสร้าง กระบวนการที่ทำงานแทนคนได้บางส่วน และสนับสนุนคนให้ทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น
Productivity ที่ยั่งยืนต้อง “ไม่พึ่งแรงคนล้วนๆ”
ในมุมมองของ SO การสร้างผลิตภาพที่แท้จริง ไม่ควรมาจากการเพิ่มชั่วโมงทำงานหรือการกดดันพนักงานให้ทำงานจนหมดแรง (Burnout) เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจเป็นเพียง “ตัวเลข Output” ในระยะสั้น แต่กลับสร้างต้นทุนที่ซ่อนอยู่ เช่น การลาออกของพนักงาน อัตราความผิดพลาดที่สูงขึ้น และความไม่ต่อเนื่องในการทำงาน
สิ่งที่ SO เลือกสร้างคือ ระบบที่ทำให้คนทำงานได้ “น้อยลง แต่มีพลังมากขึ้น” ผ่านการสนับสนุนด้วยเทคโนโลยีและการจัดการที่แม่นยำ และการสร้าง Solutions ในการบริหารจัดการที่จะช่วยให้ลูกค้า ได้ผลลัพธ์ที่ คุ้มค่าและยังยืน หนึ่งในเครื่องมือสำคัญคือ TIKTRACK Dashboard ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าของเรา เช่น
- ให้พนักงาน เห็น Performance ของตัวเองแบบ Real-time เข้าใจได้ทันทีว่าอะไรคือจุดแข็ง อะไรคือสิ่งที่ต้องพัฒนา
- ให้ผู้บริหาร บริหาร Resource ได้แม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตารางเวร การวางกำลังคนในช่วงพีคดีมานด์ หรือการตรวจสอบในระดับทีมและองค์กร
การมีระบบติดตามและบริหารเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้พนักงานทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่เหนื่อยล้าเกินไป แต่ยังสร้าง Sense of Ownership ที่ทำให้พนักงานมีแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง SO เชื่อว่า ผลิตภาพที่แท้จริงต้องไม่เกิดจากการกดดันคนให้ทำงานหนักขึ้น (เช่น การทำ OT ต่อเนื่อง หรือการรับงานเกินขีดจำกัด) เพราะนั่นนำไปสู่ Burnout และความไม่ยั่งยืน แต่ต้องมาจาก
- การออกแบบระบบที่ช่วย ลดงานซ้ำซ้อน
- การใช้เทคโนโลยีเข้ามา เสริมศักยภาพของคน
- การสร้าง สมดุล ที่ทำให้พนักงานทำงานได้เต็มศักยภาพโดยไม่เสียสุขภาพและแรงใจ
เมื่อ Productivity ถูกสร้างด้วยระบบที่ “ออกแบบมาอย่างชาญฉลาด” และคนที่ “เหมาะสมกับงานและแบรนด์” นั่นจึงกลายเป็น Outcome ที่วัดผลได้ และสร้างความแตกต่างเชิงกลยุทธ์ให้กับลูกค้าอย่างแท้จริง
“Productive & Predictable = สูตรสำเร็จของลูกค้า”
SO ไม่ได้หยุดเพียงแค่การเพิ่ม Productivity แต่ยังยกระดับไปอีกขั้นด้วยแนวคิด Predictable Service ที่ทำให้การทำงาน คาดการณ์ได้ โปร่งใส และปรับปรุงได้ต่อเนื่อง Predictable Service ของ SO ครอบคลุม 3 มิติ
- วางแผนล่วงหน้าได้ (Reliable Planning)
ลูกค้าสามารถรู้ล่วงหน้าว่าทีม Outsource จะจัดการกับดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างไร มี Resource เพียงพอหรือไม่ และจะส่งผลต่อ SLA อย่างไร - ติดตามผลได้ (Transparent KPI & SLA)
ด้วยระบบ Dashboard และรายงานเชิงลึก ทำให้ผู้บริหารเห็นผลลัพธ์ของงานอย่างชัดเจน ทั้งด้านปริมาณ คุณภาพ และความตรงต่อเวลา ไม่ใช่แค่คำอธิบาย แต่เป็น Data ที่ตรวจสอบได้จริง - ปรับปรุงได้ต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
SO ใช้หลักการ Lean และ Automation มาต่อยอดการทำงานตลอดเวลา เพื่อลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น และปรับกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
สิ่งที่ลูกค้าได้รับจาก Productivity + Predictable Service
- ลดความไม่แน่นอนของการทำงาน เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้ระบบที่มีการวัดผลและรายงานได้จริง
- วางแผนธุรกิจได้แม่นยำยิ่งขึ้น เมื่อมั่นใจว่า Back-end Process หรือ Support Function ถูกดูแลอย่างมืออาชีพ
- ขยายงานได้ทันทีเมื่อมี Demand ใหม่ เพราะระบบถูกออกแบบให้ Scalable ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงานในโครงการเดิม หรือการรองรับลูกค้าใหม่ขององค์กร
SO มองว่าการสร้าง ระบบที่ทำให้ผลลัพธ์ของลูกค้า ผ่านกลยุทธหลัก Reliable, Predictable และ Scalable — ซึ่งเป็นหัวใจของ Outsourcing ยุคใหม่ที่ไม่ใช่แค่ “ลดต้นทุน” แต่คือการ บริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาดและ สร้างพลังเชิงกลยุทธ์ให้กับธุรกิจอย่างยั่งยืน
สรุป
Productivity ในมุมของ SO จึงไม่ใช่เพียงการทำงานให้เสร็จเร็ว แต่คือ การสร้างระบบที่ทำงานแทนคนบางส่วน สนับสนุนให้คนทำงานที่มีคุณค่ามากขึ้น และส่งมอบผลลัพธ์ที่ตรวจสอบได้จริง ผ่านบุคลากรที่ใช่ เทคโนโลยีที่แม่นยำ และการบริหารจัดการที่เป็นระบบ ผลลัพธ์ที่ได้คือบริการที่ เชื่อถือได้ (Reliable), ควบคุมได้ (Predictable) และ ขยายได้ (Scalable) อย่างแท้จริง นี่คือ Productivity แบบใหม่ที่ไม่เพียงช่วยให้องค์กรลดต้นทุน แต่ยัง สร้างพลังเชิงกลยุทธ์ (Strategic Power) ให้ธุรกิจเดินหน้าไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง และยั่งยืนในทุกสภาวะการแข่งขัน





